ม่านหมอกในเดือนตุลา - ม่านหมอกในเดือนตุลา นิยาย ม่านหมอกในเดือนตุลา : Dek-D.com - Writer

    ม่านหมอกในเดือนตุลา

    ม่านหมอก หญิงสาวที่ต้องทนแอบรักคนคนหนึ่งมา 3 ปี เธอได้เห็นหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีนับครั้งได้เลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา และตุลย์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่หลังจากแต่งงานไปก็ไม่เคยดูแลภริยาของตนเลย ด้วยควา

    ผู้เข้าชมรวม

    92

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    92

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 เม.ย. 67 / 13:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    คำเตือน
    เนื้อหาภายในเรื่องคือเรื่องสมมติขึ้นของผู้แต่ง
    เหตุการณ์และสถานที่ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง
    ขอให้นักอ่านทุกท่านใช้วิจารณญาณในการอ่าน
    พฤติกรรมใดที่ไม่ควรลอกเลียนแบบก็ไม่ควรลอกเลียนแบบนะคะ

     

     

     

     

    คุณเคยคิดที่จะเชื่อคำพูดของพวกผู้ใหญ่บ้างไหม?
    ฉันว่าไม่ต้องเหมารวมผู้ใหญ่ที่อยู่ไกลตัวหรอก...
    ลองดูเอาจากคนใกล้ๆ ตัวเราเองอย่าง พ่อกับแม่เนี่ย คุณเคยเชื่อสิ่งที่พวกท่านพูดออกมาขนาดไหน?

    แน่นอน...ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกครอบครัวเลี้ยงมาให้อยู่ในกรอบและระเบียบที่พวกท่านถูกสร้างขึ้นเอาไว้ ตัวฉันเองก็เชื่อทุกคำพูดที่ท่านทั้งสองเป็นคนเอ่ยออกมา...จนกระทั่งถึงตอนนี้ พึ่งจะได้รับรู้ว่าบางคำพูดของพวกท่าน ตัวเราเองก็ไม่สามารถเชื่อถือได้ เพราะพวกท่านเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับคำพูดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ พวกท่านทั้งสองมักจะพูดกับฉันว่า 'อยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็รักกันเองนั้นล่ะ อย่าไปคิดมากว่าแต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันจะไปกันไม่รอดมา
    ใช่ค่ะ ฉันเคยเชื่อคำพูดนี้มาตลอด เชื่อจนหมดใจว่าต่อให้เรารักเขามาก สักวันเขาจะต้องรักเราตอบ แต่...มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
    ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเฝ้ามอง เฝ้ารอคอย รอในสิ่งที่ฉันก็รู้อยู่กับใจว่ามันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น ก็คือรอเขาคนนั้นหันมาสนใจฉันบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหัวใจเขาได้ เพราะในหัวใจของเขา...กลับมีแต่เธอคนนั้น เธอที่เป็นยอดดวงใจของเขา ไม่ใช่ฉัน เพราะฉันเป็นคนที่เขาเห็นหน้าเท่าไหร่ก็มักถูกมองเหมือนเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ...และไม่อยากคิดที่จะเข้าใกล้
    เวลาก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว ที่ตัวฉันกับเขาแต่งงานกันมา การกลับบ้านของเขาแทบจะนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำไป เขาทำหน้าที่ก็ต่อเมื่อที่ตรงนั้นมีพ่อกับแม่ของเข้าเองเท่านั้น เขาทำหน้าที่สามีหลังจบพิธีแค่ตอนที่มาส่งที่บ้านหลังนี้ คืนเข้าหอของคู่เรายังไม่มีเลย ทั้งที่เป็นคืนที่ฉันคิดว่า...เราทั้งคู่จะได้เปิดใจคุยกันบ้าง
    กริ๊ง กริ๊ง
    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้หญิงสาวสะดุ้งและออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง ก่อนจะได้คว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู และได้ปรากฏชื่อของ ‘เขามา
    "ฮัลโหลค่ะ ม่านหมอกพูดสายค่ะ"
    "วันนี้จะกลับบ้านอยู่นะ" เสียงของปลายสายเอ่ยออกมา แต่น้ำเสียงกลับต่างจากปกติที่มักจะคุยกับฉัน จะว่าไปเหมือนเขาจะดูมีความสุขก็น่าจะถูก
    "โอเคค่ะ ให้หนูเตรียมอะไรไว้หรือเปล่าคะ?" ฉันเอยออกไป และก็เผลออมยิ้มอยู่คนเดียว ทั้งที่เมื่อกี้ในหัวพึ่งบ่นไปเอง ในที่สุดวันที่ฉันจะได้อยู่กับเขาก็คงมาถึงแล้วสินะ หรือเปล่า
    "เตรียมอาหารไว้ สำหรับฉันและแขกของฉันด้วย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจะดีอกดีใจ จนจะรอให้ถึงเวลาที่นัดเสียไม่ได้ ต่างจากฉันตอนนี้ที่เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับออกไป ปลายสายที่เห็นว่าฉันไม่ได้พูดอะไรตอบ ก็ได้ตัดสายไป
    คงเป็นคนในใจเขานั้นแหละ ‘ม่านหมอกเธอจะชินจริงเหรอ?’ แต่ถ้าเขาพาเข้ามาในบ้านขนาดนี้ เรายังจะยิ้มได้หรือเปล่านะ ไหนกันนะที่พ่อกับแม่บอกว่าอยู่ไปเดี๋ยวก็รักกันเองแหละ นี่ผ่านมา 3 ปีแล้ว ฉันไม่เห็นจะมีแววที่เขาจะหันมาสนใจฉันเลยด้วย มันจะต้องใช้เวลากับเขากี่ปีกันนะ ถึงจะได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของเขา เหมือนเธอคนนั้นบ้าง...
    ตึก ตึก ตึก ตึก เสียงร้องเท้ากระทบกับกระเบื้องดังเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอชายหญิงคู่หนึ่งพากันก้าวเข้ามาที่ห้องอาหารของบ้าน ก่อนจะพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข โดยที่ไม่คิดจะถามหาบุคคลที่เป็นคนเตรียมอาหารพวกนี้ให้เลย
    "เชิญนั่งเลยครับคนสวย" ชายหนุ่มพูดออกไปก่อนจะทำท่าเชิญให้หญิงสาวนั่งเหมือนกันบริกรที่ร้านอาหารพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉันไม่เคยที่จะได้จากเขา...ไม่สิ เพราะเขาไม่เคยยิ้มเวลาอยู่กับคนแบบฉันเลยต่างหากล่ะ
    "ตุลย์จะไม่เชิญภริยานายมากินข้าวด้วยเหรอไง?" หญิงสาวเอ่ยปากถามก่อนจะปรายสายตามองคู่สนทนา แต่อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนจะเอ่ยตอบกลับ
    "หล่อนไม่กล้าออกมาพบเธอหรอก เพราะเดี๋ยวความสวยเธอจะบังหล่อนหมด" หญิงสาวได้แต่ขำกับคำพูดของเพื่อนสนิทชาย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเพิ่ม ได้แต่ปรายตามองหาดูภริยาของเพื่อนตนเองว่าจะมีน่าตาจะเป็นอย่างไร
    ระหว่างที่ทั้งคู่นั่งพูดคุยกันไปสักพัก ก็เริ่มมีอาหารมาวางเต็มโต๊ะไปหมด แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าบุคคลที่ยกอาหารมาที่โต๊ะคือใคร ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นคนตัดบทสนทนาระหว่างตัวเองกับชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวได้สังเกตบุคคลที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนแม่บ้าน เธออยากจะเอ่ยถามแต่ก็โดนชายหนุ่มขัดตลอด เหมือนกับเขาไม่ต้องการให้เธอคุยกับหล่อน
    "ตุลย์คนนั้นไม่ใช่แม่บ้านใช่ไหม เพราะเราเห็นเธอเดินยกอาหารมาให้ แต่กลับกันตุลย์ดูพยายามไม่ให้เราคุยกับเธอ" หญิงสาวถามออกไปด้วยความสงสัย และส่งสายตาที่ต้องการคำอธิบายอย่างมากไปหาฝ่ายชาย
    "เธอไม่ต้องรู้จักหล่อนน่ะดีแล้วเชื่อตุลย์" ชายหนุ่มก็ตอบกลับเหมือนไม่ได้รู้สึกกับการกระทำอะไรของตนเองเสียเลย ทำให้หญิงสาวมองตามแผ่นหลังบางที่กำลังทำอาหารของตัวเองอยู่ในห้องครัว ก็นึกอยากชวนมานั่งคุยด้วยแต่ดูแล้วตุลาคงไม่ชอบภริยาคนนี้เอาเป็นไหน เธอจึงคิดหาวิธีที่จะได้เดินไปคุยกับหญิงสาวอีกคนที่อยู่ภายในห้องครัวสำหรับทำอาหาร
    "ตุลาเราขอไปเอาน้ำหน่อยนะ" หญิงสาวพูดก่อนจะลุกและเตรียมตัวเดินไปทางของห้องครัว แต่ก็โดนชายหนุ่มห้ามเอาไว้เสียก่อน
    "เดี๋ยวตุลย์ไปเอาให้นั่งอยู่นี้แหละครับ" ชายหนุ่มไม่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย ก็รีบก้าวขาไปทางห้องครัวทันที หญิงสาวได้แต่มองตามหลังอย่างหมดอาลัย

    ฉันที่ตอนนี้แทบจะไม่รู้ว่าควรจะเอาหน้าไปมุดไว้ส่วนไหนของโลก ตอนนี้ฉันกับเขาเหมือนคนที่มาเป็นรูมเมทแชร์บ้านอาศัยกันโดยที่เขาแทบจะไม่กลับมาที่บ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำ
    ฉันได้แต่เหม่อลอยในระหว่างที่กำลังทำอาหารสำหรับตัวเองเอาไปกินที่บนห้อง เพราะไม่อยากเป็นตัวที่ทำลายบรรยากาศสำหรับเขาทั้งคู่
    และก็ได้มีสิ่งที่ทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ได้นั้นคือ 'เขา' ฉันได้แต่ปรายตามองตามการกระทำของเขา เขาไม่แม้แต่จะปรายตามามองฉันเลยด้วยซ้ำไป ฉันก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาก่อนจะหันหลังไปมองหญิงสาวที่เขาพามาด้วย
    สายตาของเราทั้งคู่สบตากัน หญิงสาวเมื่อเห็นว่าฉันมองเช่นเดียวกันก็โบกไม้โบกมืออย่างดีใจ ฉันก็รีบหันหน้ากลับทันที
    ดูเป็นคนที่น่ารักทีเดียวเลย เธอดูเหมาะกับเขามากๆ เห็นว่าเป็นรุ่นเดียวกับเขารู้จักกันมาตั้งนานเพราะครอบครัวฝ่ายหญิงนั้นก็ทำธุระกิจร่วมกับครอบครัวของเขาอยู่ด้วย
    "อย่าคิดจะออกมาเสนอหน้าเด็ดขาด" เสียงกระซิบข้างคู่ทำให้ฉันตกใจ จนต้องหันหลังกลับไปมองก่อนจะเจอสายตาที่แสนจะน่ากลัวของพี่ตุลย์ที่มองมาที่ฉันเหมือนเป็นคนที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไงอย่างงั้น
    "รู้ค่ะ หนูจะไม่เสนอหน้าไปเจอคนรักของพี่หรอกค่ะ" ฉันพูดโดยที่ไม่คิดอะไรก่อนจะต้องตกใจกว่าเก่าเมื่อพี่ตุลย์คว้าบีบที่ต้นแขนของฉันอย่างแรง
    "อย่ามาพูดจาแบบนี้นะม่านหมอก" เขาพูดก่อนจะรีบปล่อยแล้วเดินไปล้างมือ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะโดยที่ใบหน้าเขายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
    "อะไรว่ะ? จะบอกว่าห้ามพูด เพราะเดี๋ยวเขาจะเสียหายหรืออย่างไงกัน?" ฉันได้แต่พูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะตักกับข้าวที่ทำเสร็จเตรียมเอาขึ้นไปกินที่บนห้องนอนของตัวเอง แต่ก่อนที่จะได้ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกฉันก็ได้ยินเสียงหญิงสาวทักขึ้นมา
    "คุณคะ"
    "คะ?" ฉันหันไปตามเสียง ก็เห็นว่าหญิงสาวที่เขาพามาด้วยกำลังยื่นอยู่ข้างหน้าของฉัน เธอเป็นคนที่สวยมาก เหมือนมีมนต์สะกดคนได้ ยิ่งตอนเธอยิ้มก็ยิ่งน่ามอง ไม่น่าล่ะพี่เขาถึงได้ตกหลุมรักเธอคนนี้มาตั้งแต่ไหน ฉันได้แต่ส่งยิ้มไปให้ แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำถามที่ออกมาจากเธอ
    "คุณเป็นภริยาของตุลาใช่หรือเปล่าคะ?" ฉันได้แต่ยืนแข็งไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร แต่เหมือนเธอคนนั้นจะดูออกก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาเหมือนต้องการให้ฉันสบายใจขึ้น
    "ฉันกับตุลย์เป็นเพื่อนสนิทกันค่ะ" ก่อนเธอจะยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร
    "ค่ะ คุณมีอะไรหรือเปล่า?" เธอยิ้มมาให้ก่อนจะส่ายหัวไปมา ราวกับจะบอกว่าแค่อยากเห็นหน้าภริยาของเพื่อนสนิทตัวเองเพียงเท่านั้น
    "งั้นฉันขอตัวนะคะ" ฉันไม่ได้รอคำตอบหรืออะไรทักนั้น รีบวิ่งขึ้นข้างบนแล้วเข้าห้องนอนตัวเองทันที ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากคุยแต่มีสายตาที่มองมาเหมือนสั่งห้ามฉันให้คุยกับเธอคนนี้ต่างหาก แน่นอนก็คงไม่พ้นสายตาของพี่ตุลย์นั้นเอง


    ทำไมหล่อนต้องมาแสดงตัวหรืออะไรแบบนี้ ผมรู้สึกว่าผมก็จ้างแม่บ้านมาดูแลที่นี่ทำไมถึงมีแต่หล่อนที่เป็นคนยกอาการออกมาเท่านั้น ทำไมหล่อนต้องมาแสดงว่ามีตัวตนในบ้านหลังนี้ในวันที่ผมพาเธอมา
    แล้วไหนจะยิ่งตอนที่หล่อนมายืนคุยกับเธออีก คิดจะไม่ปล่อยให้ผมมีความสุขเลยเหรอไง? 3ปีที่ผมต้องมาทนทรมานที่ต้องให้เธอมองว่าผมมีภริยาแล้ว 3ปีที่ผมต้องอยู่ในนามว่าแต่งงานแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่เขาไปทำคำมั่นสัญญากันไว้เพื่ออะไรกัน? ทำให้ลูกหลานทรมานเปล่าๆ
    การไม่ได้อยู่กับคนที่รักมันเหมือนตายทั้งเป็น ผมรู้ถึงความรู้สึกหล่อนแต่ผมก็ไม่สามารถตอบรับได้ เพราะผมเองก็มีคนของใจเช่นเดียวกัน
    "ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะตุลย์?"
    "เปล่า ตุลย์เครียดเรื่องงานนิดหน่อย" ผมตอบกลับไปก่อนจะส่งรอยยิ้มเพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วงจนเกินไป
    "ภริยานายน่ารักมากเลยนะ โชคดีจัง" จู่ๆ เธอก็พูดถึงหล่อนขึ้นมาก่อนจะทำหน้าเศร้าหมอง ผมพึ่งรู้มาว่าผู้ชายที่เธอพึ่งเลิกไปนั้นแอบไปมีอะไรกับเพื่อนร่วมงานของเธอเอง ผมเลยไม่อยากพูดอะไรแนวปลอบใจเพราะรู้ว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจเธอในตอนนี้
    "ฟ้า เธอเองก็น่ารักนะ สำหรับตุลย์เปรียบฟ้าคือคนที่สวยที่สุดแล้วนะครับ" ผมพูดก่อนจะลูบหัวของเธอเบาๆ ก่อนที่เธอจะมองหน้าผม...แล้วเราทั้งคู่ก็จูบกัน
    เพล้ง!
    เสียงเหมือนเครื่องเซรามิคแตกทำให้ทั้งผมและฟ้าต้องรีบหันไปมอง ก็เห็นหล่อนยืนมองนิ่งๆ ก่อนที่เปรียบฟ้ารีบวิ่งไปดูหล่อนทันที ทำให้ผมต้องรีบวิ่งไปตามเธอเช่นกัน เผื่อเธอเผลอไปเหยียบเศษแก้วและเศษจานที่แตกเข้าเอา
    "คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" หล่อนก็ได้แต่ส่ายหน้าเป็นการตอบ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ฟ้า
    "ตุลย์ว่าพวกเธอไปยืนไกลๆ จากตรงนี้หน่อยเถอะเดี๋ยวเผลอเหยียบเศษแก้วเอา"
    "ไปกันค่ะคุณ...?" เธอหันไปมองอีกคนที่ตอนนี้เหมือนสติจะไม่อยู่กับตัว ทำให้เปรียบฟ้าต้องสะกิดให้หล่อนรู้ตัว
    "ค่ะๆ" หล่อนรีบพูดก่อนที่เปรียบฟ้าจะพยุงหล่อนให้เดินไปนั่งที่โซฟา
    ทำให้ผมต้องก้มเก็บเศษแก้วแล้วทำความสะอาดโดยที่ผมยังหันไปมองทางหล่อนกับเปรียบฟ้าเป็นพักๆ ก่อนที่จะเห็นว่าเปรียบฟ้าพยายามชวนหล่อนคุย แต่หล่อนทำแค่พยักหน้ากับส่ายหัวเท่านั้น ทำตัวหยิ่งชะมัด ผมทำความสะอาดเรียบร้อยก็รีบเดินไปหาทั้งคู่ทันที
    "เรื่องเมื่อกี้เข้าใจผิดนะคะ" เปรียบฟ้าหันไปมองหน้าหล่อนที่ตอนนี้เหม่อไปไหนต่อไหน
    "แต่ตุลย์ตั้งใจนะครับ" ผมพูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง ก่อนที่จะโดนเปรียบฟ้าตีเข้าที่แขนทันที
    "ตุลย์!! ต่อหน้าภริยาตุลย์ยังพูดแบบนี้อีกเหรอ?" เปรียบฟ้าไม่พูดเปล่ายังฟาดมาที่แขนผมเต็มๆ
    "อ้าว ก็ตุลย์พูดความจริงอะ" ผมตอบกลับทันควันพร้อมลูบแขนเบาๆ
    "เราละหมดคำจะพูดกับตุลย์จริงๆ" เปรียบฟ้าได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนที่เธอจะหันไปมองหล่อนที่อยู่ข้างๆ
    "คุณชื่ออะไรเหรอคะ?" เปรียบฟ้ารีบหันไปเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
    "มะ...ม่านหมอกค่ะ"
    "เปรียบฟ้านะคะ ชื่อคุณน่ารักจังเลยนะคะ"
    "เดี๋ยวตุลย์ไปส่งฟ้าดีกว่านะครับ" ผมรีบพูดตัดบทสนทนาของสองคนทันที แต่ก็ได้สายตาพิฆาตของเปรียบฟ้ากลับมาทันที
    "เรายังไม่อยากกลับ อยากคุยกับคุณหมอกต่ออีก" เปรียบฟ้าก็รีบหันไปเกาะแขนหล่อนทันทีก่อนที่ทั้งคู่จะคุยกันไปเรื่อย จนเวลาก็เลยมานานมาก ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะนั่งอยู่ข้างๆ ฟ้า และฟังทั้งคู่คุยกันไปมา ถึงส่วนมากจะเป็นเปรียบฟ้ามากกว่าที่พูด ส่วนหล่อนก็ได้แค่ยิ้มและพยักหน้าตอบกลับนิดหน่อย ก็นะถ้าเมื่อไรที่เปรียบฟ้าเจอคนที่คุยแล้วถูกใจก็ไม่มีทางที่จะปล่อยคนนั้นไปง่ายๆ หรอก
    ผมนั่งรอไปสักพักก็เห็นว่าเปรียบฟ้าหาวออกมาก็อดที่จะแซวไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนเป็นคนที่ถ้าง่วงแต่เจอคนที่ถูกใจก็จะไม่ยอมไปนอนและแน่นอนคนที่เธอถูดใจเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปนอนเช่นกัน ถ้าเขาไม่เอ่ยปากออกมาก่อนนะ
    "ง่วงก็ไปนอนได้แล้วครับฟ้า"
    "ฟ้าไม่ได้ง่วงนอนซะหน่อย!" เธอหันกลับมาตอบผมทันทีทั้งที่ตาทั้งสองดวงเริ่มมีน้ำตาที่เกิดจากการหาวเมื่อกี้แท้ๆ
    "หมอกว่าคุณฟ้าไปนอนดีกว่านะคะ ตอนนี้จะตี2แล้วนะคะ" หล่อนพูดขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมองมาทางผมกับเปรียบฟ้า แล้วยิ้มให้
    "งั้นวันนี้ฟ้าไปนอนกับคุณหมอกดีกว่า เพราะยังอยากคุยกับคุณหมอกอยู่เลย"
    "ไม่ได้!!!" ผมรีบตะโกนขึ้นทันควันทำให้ทั้งคู่สะดุ้งแล้วหันมองมาทางผมทันที ก่อนที่ผมจะได้สายตาสงสัยจากเปรียบฟ้า แต่ก่อนจะได้แก้ตัวอะไรเธอก็ยิ้มออกมาแล้วทำท่าขำ
    "หวงภริยาก็บอกสิคุณตุลา 555 ไม่จำเป็นต้องตะโกนเสียงดังเลย"
    "คุณฟ้า หมอกว่าคุณเข้าใจผิดแล้วนะคะ"
    "คุณหมอกก็ว่าไป ตุลย์เป็นคนหวงของฟ้ารู้ งั้นเดี๋ยวฟ้าเรียกคนที่บ้านมารับเอาดีกว่า จะได้ไม่รบกวนทั้งคู่ด้วย" ฟ้าพูดก่อนจะเดินไปฝั่งห้องครัวเพื่อโทรให้คนที่บ้านมารับ
    ทำให้ตอนนี้ในที่ตรงมีแค่ผมกับหล่อนที่อยู่ ผมก็ได้แต่ปรายตามองดูหล่อนเงียบ คำพูดของหล่อนสามารถทำให้เปรียบฟ้าเข้าใจผิดได้ว่าผมดูแลภริยาไม่ดีอาจจะทำให้เธอไม่อยากมาเป็นภริยาของผมก็ได้ใครจะรู้
    ถ้าคนที่ทำให้เปรียบฟ้าไม่อยากเป็นเจ้าสาวของผมก็คงมีแค่หล่อนคนเดียว เหมือนหล่อนจะไม่กล้าเข้าใกล้ผมเท่าที่ควร ผมมองตามไปที่ห้องครัวก็เห็นเปรียบฟ้ายังคุยโทรศัพท์อยู่จึงยังไม่กล้าไปกวน ผมเลยเป็นคนเริ่มบทสนทนาระหว่างตัวผมและหล่อน
    "เมื่อกี้รู้ใช่ไหมว่าพูดออกมาทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดได้" ผมเปรยตามองหล่อน
    "เรื่องจริงคงไม่มีใครเข้าใจพี่ผิดหรอกนะคะ" หล่อนเงยหน้ามายิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ "ในเมื่อพี่ไม่ได้รักหนูเลยนิคะ?"
    "ถ้าเปรียบฟ้ามาได้ยินแล้วคิดว่าการมาเป็นภริยาฉัน จะได้รับการดูแลที่ไม่ดีจะทำยังไง"
    "ก็ขึ้นอยู่กับว่าพี่แสดงออกแบบไหนให้คุณฟ้าเขาเห็น"
    "ม่านหมอก!!!"
    "ถ้าคุณเขารักพี่เหมือนกับที่พี่รักเขา ก็ขอให้รักของพี่มีความสุขนะคะ" หล่อนพูดเสร็จก็หันหลังวิ่งห้องไปทันที หล่อนพูดหมายความว่าไง? ช่วงนี้ตัวผมเองต้องกลับมาอยู่ที่นี้บ่อยๆ เพราะพ่อกับแม่กำลังจะกลับมา...คงจะต้องพยายามระงับอารมณ์ตัวเองซะแล้วสิ
    จู่ๆ ผมก็โดนคนสะกิดที่หัวไหล่ เมื่อหันไปก็เจอกับเปรียบฟ้าที่มองอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน ผมก็ทำหน้าที่ที่ของเจ้าของบ้านควรทำคือเดินไปส่งเธอ
    ก่อนจะมองด้วยความสงสัยเพราะรถคันนี้มันคุ้นตาแปลกๆ และเหมือนหญิงสาวจะสังเกตเห็นจึงได้พูดออกมา
    "รถพี่อคิน"
    "ทำไมมันถึงได้มารับ?"
    "อย่าเรียกพี่เขาแบบนั้นสิ พอดีพี่มันมาง้ออะได้3เดือนแล้ว และมันอยู่ในช่วงที่ฟ้ามีปัญหากับแฟนคนล่าสุดที่พึ่งเลิกด้วยอะ"
    "อืม งั้นกลับดีๆ นะครับ" ผมไม่ได้ถามอะไรออกไปอีกก็ได้แต่ส่งยิ้มให้เธอก่อนจะมองรถที่เคลื่อนออกไปจนสุดสายตา ภายในหัวผมก็นึกไปถึงคำพูดของม่านหมอกที่บอกว่า 'ถ้าคุณเขารักพี่เหมือนกับที่พี่รักเขา ก็ขอให้รักของพี่มีความสุขนะคะ' เธอต้องรู้อะไรมากกว่านี้แน่ๆ
    ไม่งั้นคงไม่พูดคำนี้ออกมาหรอก ไม่ทันความคิดผมขาผมก็ขยับก้าวอย่างไวไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของหญิงสาว เมื่อมือผมกำลังจะเอื้อมไปเคาะก็ต้องชะงักเพราะเสียงหล่อนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ทำให้ผมได้แต่ยืนฟังอยู่ข้างนอกอย่างเงียบๆ


    "คะ?" หญิงสาวตะโกนลั่นเมื่อปลายสายบอกว่ากำลังจะถึงบ้านแล้ว [โอ๊ย!หัวจะปวดตาย ฉันเองก็ยังไม่อยากเจอหน้าพี่เขาตอนนี้ด้วยซ้ำไป แถมแม่ก็จะกลับมาอยู่ที่บ้านด้วยอีก มีอะไรแย่กว่านี้อีกมั้ยเนี่ย] หญิงสาวก็ได้แต่ขำเบาๆ เป็นการตอบกลับปลายสาย
    "รักกันดีค่ะแม่ ช่วงนี้พี่ตุลย์กลับมาอยู่บ้านบ่อยแล้วค่ะ" หญิงสาวได้แต่พูดน้ำเสียงที่ดีอกดีใจ ทั้งที่ตอนนี้ใบหน้าของเธอเองแทบจะอ้วกก็เถอะ เพราะหลังจากที่เธอได้พูดความใจในนิดหน่อยก็เลยสบายใจ แต่เธอก็ได้แค่เตือนผู้เป็นพี่เท่านั้น ไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อหรือไม่
    "งั้นหนูลงไปเตรียมตัวรอแม่กับพ่อดีกว่านะคะ" เธอพูดเสร็จก็รีบวางสายทันที เพราะถ้าไม่อย่างนั้นคงได้คุยกันอีกยาวเป็นแน่
    ขาเรียวรีบก้าวเท้าลงจากเตียงแล้ววิ่งไปทางประตูทันที แต่ด้วยความที่เร่งรีบมากเกินไป ทำให้เธอเผลอไปชนเข้ากับอกแกร่ง...ที่ไม่ต้องเดาให้เข้าใจยากเลยว่าเป็นใครถ้าไม่ใช่...พี่ตุลา เพราะบ้านหลังนี้พี่ตุลย์เป็นคนใช้เงินตัวเองในการจ้างพ่อบ้านแม่บ้านมาทำงาน
    แต่ด้วยการแสดงออกของพี่ตุลย์ทำให้คนพวกนั้นรู้ได้ในทันทีว่าประจบดูแลภริยาของเจ้านายไปก็ไม่ได้อะไรแถมพวกเขาก็ไม่ได้เคารพนายหญิงของบ้านอย่างที่ควร ไหนจะนินทา ว่าทอ เสียหายและมักจะพากันไม่ทำงานบ่อนจนเคยเป็นนิสัย เพราะผู้ว่าจ้างแทบจะไม่มาดูหลังนี้เลยด้วยซ้ำ ทันทีที่จะเอ่ยปากขอโทษ เขาก็รีบผลักหญิงสาวออกอย่างแรง
    "อะ ขอโทษคะพอดีหนูรีบ" เธอโค้งขอโทษนิดหน่อย แล้วมองหาทางที่จะรีบวิ่งลงข้างล่างแต่เหมือนว่าคนพี่จะดักทางไว้หมด จึงทำได้แค่ถอนหายใจออกมา พี่มันก็ยิ้มมุมปากก่อนจะมองมาที่ใบหน้าของหญิงสาว [โห้ว! นี่มีความสุขมากหรอที่ทำให้หัวเสียได้เนี่ย ต่อจะให้ดีใจที่วันนี้พี่มันกลับมาบ้านก็เถอะไม่รู้คิดถูดคิดผิดที่ดีใจเนี่ย] อาจจะเพราะปกติอยู่คนเดียวมา3ปี ทำให้เธอเป็นคนแสดงอารมณ์ออกมาง่ายมากหรือเปล่านะ
    "แม่จะมาเลยรีบไปเสนอหน้า?" ชายหนุ่มขบขันเบาๆ ก่อนจะปรายตามองไปที่หญิงสาวอีกครั้ง
    "ค่ะ พอดีหนูชอบเสนอหน้าเลียแข้งเลียขาแม่พี่มากเป็นพิเศษ" อย่างที่คิดชายหนุ่มทำหน้าตกใจมากที่เห็นหญิงสาวกล้าที่จะพูดแบบนี้ออกไป [หึ! อย่ามาท้าทายคนอย่างม่านหมอกนะ ชอบพี่ก็ชอบอยู่หรอก แต่จะไม่ให้ตอบกลับทำตัวเหมือนนางเอกนิยายบางเรื่องก็คงไม่ใช่นะคะ แค่เริ่มทำใจเรื่องที่พี่จูบกันได้ก็ดีแล้วเถอะ ไม่ไปหยุมหัวพี่แล้วด่าให้คุณฟ้าดูก็ดีมากแล้ว]
    "ทำไมตอนที่อยู่กับเปรียบฟ้าไม่ทำนิสัยแบบนี้ออกมาด้วยล่ะคะน้องหมอก" ชายหนุ่มยื่นใบหน้าที่แสนหล่อเข้ามาใกล้เธอ เพื่อจะดูปฏิกิริยาของเธอว่าจะเป็นอย่าไรแต่ก็ต้องตกใจกับคำตอบที่ได้รับกลับมาแทน [คิดจะทำให้เขินเหรอรู้จักม่านหมอกน้อยไปละนะคะพี่ตุลา]
    "กาลเทศะมีค่ะ หนูเห็นว่าพี่มีแขกคนพิเศษเลยแสดงด้านอ่อนแอให้เห็น" หญิงสาวยิ้มให้ก่อนจะรีบวิ่งลงมารอแม่และพ่อของผู้เป็นสามี ก่อนจะมีเรื่องกับชายหนุ่มหนักมากกว่านี้ แต่ในใจตอนนี้ก็ได้แต่พูดว่า [ฝากไว้ก่อนเถอะนะ] ฉันยืนรอได้สักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนมายื่นข้างๆ เช่นเคยดูไม่ออกเลยว่าเป็นใคร
    "ร้ายนะ"
    "ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ" ฉันที่พยายามไม่ตอบโต้อะไรมากเกินไป แต่เหมือนผู้เป็นพี่จะเอือมกับนิสัยแบบนี้ของหญิงสาวจึงเงียบไป ทำให้ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยชวนกันสนทนาออกมา จนกระทั่งได้ยินเสียงคนตะโกนจากหน้าประตูใหญ่เข้ามา
    "ฮัลโหลลูกๆ เปิดประตูให้แม่หน่อยลูก" เมื่อหญิงสาวได้ยินก็รีบวิ่งไปเปิดประตูให้ทันที
    ในระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ได้พากันไปช่วยยกกระเป๋าของผู้เป็นแม่และพ่อของฝ่ายชายไปไว้ที่ห้องนอนประจำของทั้งสอง [ว่าด้วยความที่วันนี้พี่ตุลย์บอกมีแขก...ถึงฉันจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นคนคนนั้นแต่ก็ยังจ้างแม่บ้านให้มาทำความสะอาดทั่วทั้งหลังเลยที่เดียว ดีจริงๆ ที่คิดทำแบบนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆ] หญิงสาวยิ้มภูมิใจกับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ ก่อนที่แม่ของผู้เป็นพี่จะพูดสิ่งที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินออกมา
    "แม่อยากอุ้มหลานนะตาตุลย์ 3ปีแล้วที่แต่งงานกันมาแต่ไม่มีหลานให้แม่สักคนเลย" แล้วแม่ก็เดินมากอดฉันและก็พูดให้ฉันเกือบหลุดขำออกมากับคำพูดนั้น
    "พี่เขาอาจจะน้ำยาไม่ดีนะลูกทนๆ หน่อยแล้วกันนะ" หญิงสาวแทบจะกลั้นขำไม่อยู่ [ถึงพี่ตุลย์กับฉันแต่งงานมา3ปีก็จริงแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องอย่างว่าเลย ไม่ใช่เพราะอะไร ก็พี่มันเล่นไม่ได้มาบ้านหลังนี้เลยต่างหาก] เธอเองก็ได้แต่ยิ้มตอบ แล้วเก็บความรู้สึกไว้เงียบๆ
    "น้ำยาผมดีครับ แค่ผมไม่ค่อยว่างทำต่างหาก" เธอรีบหันไปมองคนพี่ทันควัน [ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ เดี๋ยวก็...] ไม่ทันที่จะตอบคิดของตัวเองเสร็จ เสียงของผู้เป็นแม่ก็พูดออกมาทันที
    "วันนี้ก็นอนด้วยกันสิ ไหนๆ ลูกก็ว่างแล้วตาตุลย์ ไปๆ เดี๋ยวแม่ไปส่งที่ห้อง เนาะหนูหมอก" เธอสาวก็ได้แค่พยักหน้าและขำเบาๆ ก่อนจะคิดได้ว่าพึ่งมีปัญหากับผู้เป็นพี่ไป จึงพยายามจะหาทางออก
    "มะ...ไม่เป็นไรดีกว่าคะแม่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว"
    "ไม่เอาหรอกเดี๋ยวหนูกับพี่ตุลย์ก็แยกห้องกันนอน ไปเดี๋ยวพ่อเดินไปส่งด้วย" เสียงผู้เป็นพ่อพูดขึ้นพร้อมเดินตามมาเหมือนทหารเฝ้านักโทษอย่างไงอย่างงั้นเลย
    ทันทีที่ถึงห้องนอนหญิงสาวก็รีบหันกลับไปยิ้ม แต่เหมือนแม่และพ่อจะรอให้เธอกับคนพี่เข้าห้องก่อนถึงจะกลับ ทำให้ต้องสะกิดผู้เป็นพี่ให้รีบเดินเข้าห้องมาก่อนค่อยว่ากันทีหลังเอา
    "งั้นฝันดีนะคะแม่ พ่อด้วยนะคะ"
    "ฝันดีครับแม่พ่อ" เธอรีบปิดประตูก่อนจะคิดว่าจะทำยังไงดี จู่ๆ ก็ได้ยินเหมือนเสียงล็อคห้องจากข้างนอก!!!
    "พี่ได้ยินเสียงเหมือนกันใช่ไหมคะ" หญิงสาวรีบหันไปหาชายหนุ่มที่กำลังยืนทำหน้าตาเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่เขาจะทำแค่การพยักหน้าออกมา [อะไรกันเนี่ย ทำไมไม่เห็นเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย? ทั้งที่ตอนที่เปรียบฟ้ามากลับแทบไม่อยากให้เราเข้าใกล้ด้วยซ้ำไป] หญิงสาวก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับ
    "นี่ทำไมเธอถึงพูดเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?" ชายหนุ่มเริ่มเปิดประเด็นทันที ทำให้หญิงสาวที่ตอนนี้คิดวิตกเรื่องการนอนรีบหันไปมองชายหนุ่มอย่าสงสัย ว่าทำไมถึงถามแบบนี้ออกมา?
    "หา??? พี่หมายถึงอะไรคะ"
    "ก็ที่เธอบอกว่าถ้าฟ้ารักฉัน เหมือนที่ฉันรักฟ้า ก็ขอให้รักของฉันทั้งคู่ดี"
    "..." หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับอะไรได้แต่มองหน้าที่กำลังเศร้าลงของชายหนุ่มอยู่เงียบๆ
    "ดึกมากแล้วฉันว่าเธอไปนอนเถอะ เดี๋ยวฉันไปนอนโซฟาเอา" ทันทีที่พูดเสร็จขายาวก็ก้าวไปทิศทางของโซฟา โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านอะไรของหญิงสาวเลยแม้แต่นิดเดียว [เพราะผู้หญิงเขามีเซ้นต์ไงคะ] เธอเองก็ไม่อยากทำให้ชายหนุ่มเครียดมากกว่านี้จึงไม่อยากไปหาเรื่องต่อล้อต่อเถียง ได้แต่เดินไปปิดไฟแล้วเข้านอนอย่างเงียบๆ
    ทันทีที่มีแสงแย้งเข้าตาของหญิงสาวก็รีบโวยวายออกมาทางเสียงและบิดขี้เกียจไปมาเมื่อเด็กที่โดนพ่อกับแม่ปลุกให้ไปโรงเรียน ทำให้ชายหนุ่มที่เป็นคนมาปลุกยิ้มออกมา ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ เพราะหญิงสาวไม่ยอมที่จะลืมตาลุกมาดูด้วยซ้ำไปว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำตัวเธอโวยวายออกมา
    ชายหนุ่มจึงไปลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าดูเธอที่ข้างๆ เตียงแทน [นอนอย่างกับเด็กน้อยเลยนะหล่อนเนี่ย] ชายหนุ่มยิ้มออกมา โดยที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตั้งแต่ที่กลับมาที่บ้านนี้ตัวเองยิ้มกับการกระทำของหญิงสาวออกมา ทั้งที่ไม่เคยยิ้มให้หล่อนเพราะเขาเองก็ไม่ได้ชอบหญิงสาว
    เขาแค่รู้ว่าหล่อนเป็นคนทำให้ เขากับหญิงอันเป็นที่รักไม่สามารถเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทได้เลยด้วยซ้ำ ถึงต่อให้หล่อนไม่เข้ามาให้ชีวิตเขาเองก็ไม่สามารถหลุดออกจากคำว่าเพื่อนสนิทได้เลยด้วยซ้ำไป
    [หล่อนไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกนะหมอก แค่...ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับความรู้สึกที่มีต่อเปรียบฟ้าแค่นั้น 3ปีที่ฉันไม่เคยกลับมาที่นี่หล่อนก็ยังดูแลบ้านได้ดี รู้ไหมตอนที่หล่อนมาเห็นฉันกับฟ้าจูบกัน ข้างในใจฉันมันก็รู้สึกเจ็บนะ เธอมาอยู่ในฐานะภริยาแต่ฉันกลับไม่ยอมทำหน้าที่สามีเลยสักครั้ง มั่วแต่ทำตัวเกลียดหล่อน ทั้งที่หล่อนไม่ได้ผิดเลย]
    "ขอโทษนะ" ชายหนุ่มพูดออกมาเบาๆ ทั้งที่คนที่เขาต้องการขอโทษยังคงหลับไม่ได้ยินแต่เขาก็ยังคงเอ่ยออกมา
    "พี่คิน!" จู่ๆ หญิงสาวก็สะดุ้งขึ้นมาและเอ่ยชื่อถึงบุคคลที่สาม ทำให้ชายหนุ่มมองอย่างสงสัย หญิงสาวที่ตอนนี้มีเหงื่อโชกทั้งตัวก็มองไปรอบๆ ห้องก่อนจะสบสายตาเข้ากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียงนอนของตัวเอง
    "เป็นอะไร?"
    "ป ป่าวค่ะ" หญิงสาวรีบปฏิเสธแล้วยิ้มกลับมาให้ทันที
    "รู้จักกับมันเหรอ?" ชายหนุ่มปรายตามองเพื่อต้องการคำตอบ ก่อนจะเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ดูไม่สู้ดีนัก
    "ไม่เชิงหรอกค่ะ พี่ไม่ต้องสนใจหรอก" หญิงสาวเหมือนจะไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องราวนี้ก็เลี่ยงพูด แต่ก็ไม่วายที่ชายหนุ่มจะส่งสายตาต้องคาดคั้นเอาความจริง เพราะอาการของหญิงสาวที่แสดงออกมา มันดูรุนแรงมาก หญิงสาวก็ได้แค่มองกลับก่อนจะถอนหายใจและเริ่มเล่า
    'เมื่อประมาณ 8 เดือนก่อนที่โรงเรียนมัธยมของหนูมีงานเลี้ยงศิษย์เก่า พอเวลาเลิกงาน พวกเพื่อนหนูก็ชวนกันไปต่อเพราะนานๆ ได้มาเจอกันครั้ง เลยไปต่อที่ผับแห่งหนึ่งแถวๆ บ้านของ...พี่คิน พี่คงสงสัยว่าทำไมหนูถึงได้รู้จักพี่คินสินะ เพราะพี่คิดเป็นพี่ชายของ1ในกลุ่มเพื่อนที่พากันไปกินเนี่ยละคะ แต่หนูไม่ได้ดื่มเยอะนะคะ' หญิงสาวรีบพูดเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มเข้าใจผิด ชายหนุ่มก็ทำแค่พยักหน้าตอบกลับเธอจึงเล่าต่อ
    'แต่ตอนที่หนูกินแก้วที่พี่คินเอามาให้ก็เริ่มรู้สึกร้อน หนักหัวและก็...รู้สึกอยากทำเรื่องอย่างว่าคะ' เมื่อหญิงสาวเล่ามาถึงตอนนี้ร่างกายก็เริ่มสั่นเทา เริ่มกำผ้าปูไว้แน่นก่อนจะเริ่มเล่าต่ออีกครั้ง
    'จู่ๆ พี่คินก็เข้ามากอดเอวหนูก่อนจะกระซิบบอกว่าเดี๋ยวจะพาขึ้นไปนอนที่ห้องพักของผับ เพื่อนๆ ต่างพากันเห็นก็คิดว่าหนูเมาก็เลยบอกให้พี่คินพาไปได้เลย ทันทีที่ถึงห้องพี่คินก็พาหนูไปนอนที่เตียงแล้วเดินออกไป ก่อนออกไปพี่เขาก็ล็อคห้องให้ หนูเลยคิดว่าคงจะไม่มีใครเข้ามาก็เลยถอดเสื้อผ้าออกหมดเพื่อจะไปแช่น้ำให้ตัวเองดับร้อน แต่ระหว่างที่หนูถอดจะหมดจู่ๆ ...’ หญิงสาวหันหน้ามามองชายหนุ่มที่นั่งตั้งใจฟังเรื่องเล่าของเธอเองอย่างตั้งใจ อย่างกับเด็กน้อยที่กำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้ใหญ่ แต่แค่เพียงเสี้ยวเดียวเธอก็หันไปก้มหน้าเล่าเช่นเดิม
    ‘ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งนั้นก็คือ...พี่คินเอง เมื่อพี่เขาเห็นหนูพี่เขาก็ล็อคห้องแล้วเดินเข้ามาหาหนู' หญิงสาวเริ่มน้ำตาไหลอาบลงสองแก้ม ชายหนุ่มก็ได้แค่นั่งมองโดยที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เพราะเขาเองก็ไม่เคยปลอบใครมาก่อนเสียด้วย แต่ก็โมโหที่หญิงสาวตรงหน้าช่างไม่ระวังตัวเองเอาเสีย แล้วคนที่มายุ่งกับหล่อนยังเป็นมันอีก รู้ทั้งรู้ว่าหล่อนไม่ได้ผิดแต่เขาก็อดที่จะโมโหใส่เธอไม่ได้จริงๆ
    "แล้วทำไมถึงไม่ระวังตัวเอง!" ชายหนุ่มตะโกนออกมาทันทีที่รู้เรื่อง แต่แทนที่จะปลอบกลายเป็นว่าเขากลับหาว่าหญิงสาวไม่ยอมระวังตัวเองดีๆ แทน หญิงหันไปมองหน้าชายหนุ่มที่ตนรัก และน้ำตาก็เริ่มไหลอาบสองแก้ม
    "พี่รู้ไหมว่าหนูภาวนาให้คนคนหนึ่งมาช่วยทั้งที่รู้ว่า...เขาเกลียดหนูเข้าไส้" เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะเริ่มเล่าต่ออีกครั้งพร้อมเสียงที่สั่นเทา
    'ในระหว่างที่หนูโดนโยนลงเตียง...ภายในใจหนูภาวนาเรียกหาคนที่รักและตะโกนให้คนช่วยแต่กลับไม่มีใครช่วยเลย พอหนูหลุดรอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ ก็ได้เริ่มสืบหาเบาะแสและได้รู้ว่า...เพื่อนทั้งหมดที่พาหนูไปโดนจ้างมา แล้วมันก็กลายเป็นแผลใหญ่ในความทรงจำของผู้หญิงคนหนึ่งมาตลอด' หญิงสาวเหยียดยิ้มพร้อมหัวเราะก่อนจะมองไปทางชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังประมวลผลว่าหญิงสาวที่ตนเองแต่งงานด้วยเจออะไรมาขนาดนี้ และคนที่ทำได้ขนาดนี้คือใคร
    "หนูเตือนพี่ด้วยความหวังดีเสมอมา ต่อให้ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจ้างแต่ทั้งเซ้นต์และรถที่มารับคุณเปรียบฟ้าหนูจำได้"
    "หล่อนจะบอกว่าฟ้าอยู่เบื้องหลัง?"
    "ป่าวค่ะ หนูไม่อยากให้พี่มาคิดว่าหนูคิดจะใส่ร้ายป้ายสีคนรักของพี่หรอกนะคะ" ขาเรียวขยับตัวเองเพื่อจะลงจากเตียง ก็ต้องหยุดชะงักก่อนจะเอ่ยปากที่ทำให้ชายหนุ่มหน้าชา
    "ถ้าพี่ดูแลหนูในฐานะที่พี่เป็นสามีได้ดี ผู้หญิงคนนนี้จะไม่มีความทรงจำแบบนี้เลยค่ะ"
    เมื่อทั้งคู่ต่างพากันทำทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินไปยังห้องรับประทานอาหารพร้อมกัน แต่ก็ต้องตกใจเพราะทั้งคู่ต่างพากันเห็นพ่อบ้านแม่บ้าน20กว่าชีวิตกำลังนั่งก้มหน้าต่อคุณนายของบ้านอย่างผู้เป็นมารดา และเมื่อผู้เป็นแม่เห็นทั้งคู่กำลังเดินมาก็เรียกให้เข้าไปหา
    "ตาตุลย์แกเป็นคนรับพวกคนพวกนี้มาใช่ไหม!!" ชายหนุ่มที่ไม่เคยเจอแม่ของตัวเองโมโหขนาดนี้ก็ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร กลับกันหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขากลับเอ่ยปากถามออกไปแทน
    "หนูเป็นคนเลือกเองค่ะแม่"
    "ไม่ต้องมารับผิดแทนพี่เขาเลยนะหมอก แม่ไม่ชอบ!!"
    "แม่ค่ะ พวกเขาไม่ได้ผิดที่จะเลือกปฏิบัติเลยค่ะ"
    "เลือกปฏิบัติ? แล้วหนูหมอกอยู่มา 3ปีเจอแบบนี้ตลอด ตุลย์เคยรู้มั้ย?" ผู้เป็นแม่หันไปมองที่หน้าลูกชายของตนเองก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าไปมา ทำให้ผู้เป็นแม่ยิ่งโมโหมากกว่าเก่าที่ลูกชายของตัวเองไม่เห็นจะทำหน้าที่สามีเลย
    "พ่อขอถามนะตุลา ลูกเคยกลับมาที่บ้านหลังนี้หรือไม่?" อย่างเช่นเคยคำตอบของลูกชายก็คือการส่ายหน้าไปมา
    "แม่ไม่น่าให้แกแต่งงานกับหนูหมอกเลยจริงๆ แกมันเป็นสามีที่แย่ที่สุดที่แม่เคยเจอเลยตาตุลย์"
    "แล้วแม่เคยถามผมไหมว่าอยากแต่งงานกับหล่อนหรือเปล่า?" ชายหนุ่มตอบกลับผู้เป็นแม่ทันควัน ในเมื่อครอบครัวเป็นคนต้องการงานแต่งนี้ขึ้นมาไม่ใช่ตัวเขา ทำไมกลายเป็นตัวเขาผิดไปหมดเลยล่ะ [เลือกปฏิบัติ ดูหล่อนจะมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะเลยนะ]
    "มันก็แค่คำขอของคนที่ตายไปแล้ว หนูว่า...ให้มันจบลงดีไหมคะ?" หญิงสาวจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาทำให้สายตาของทุกคนในที่นี่ต่างหันไปมองที่เธอเพียงคนเดียว
    "คำขอ?" ชายหนุ่มมองหน้าของหญิงสาวตรงหน้าเพียงต้องการคำอธิบาย แต่ผู้เป็นแม่กลับรีบวิ่งมาห้ามเสียก่อน
    "ไม่เอาหรอกนะหนูหมอก คำขอสุดท้ายที่แม่และพ่อจะทำให้เพื่อนสนิทของตัวเองได้นะลูก" หญิงสาวยิ้มให้ก่อนจะจับไปที่มือของแม่
    "แม่คะ พี่เขาไม่ได้รักหนูค่ะ เขามีคนที่รัก ต่อให้เป็นคำขอสุดท้ายแต่หนูว่า...แม่ของหนูก็คงไม่อยากเห็นหนูทรมานจากการที่ต้องคอยภาวนาขอความรักจากคนที่ไม่ได้รักหรอกนะคะ" ผู้เป็นแม่ไม่ได้ตอบกลับอะไร ได้แต่กอดปลอบหญิงสาวไว้ ก่อนที่หญิงสาวจะร้องไห้ออกมาทำให้ทั้งพ่อและแม่ต้องรีบเข้าไปปลอบกันมากกว่าเก่า
    "ถ้าหนูอยากหย่าเดี๋ยวพ่อกับแม่จะพาไปที่ว่าการฯนะลูก" ผู้เป็นพ่อลูบหัวขอหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ทั้งสายตาของผู้เป็นพ่อและเป็นแม่มองไปที่หญิงสาวด้วยความที่เป็นห่วงและสงสารในเวลาเดียวกัน
    เพราะทั้งคู่ไม่คิดว่าลูกชายที่แสนดีของเขาจะไม่ค่อยกลับมาที่นี่เลย พอตอนพวกเขามาหาทั้งคู่ก็มักจะทำเป็นรักกันมาก ทำให้ทั้งสองสบายใจที่ลูกของเขาและลูกสะใภ้รักกันดี
    "ผมไม่หย่าด้วยหรอกนะครับ" ชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นมา เรียกเสียงตกใจจากทั้งคนในครอบครัวและพวกคนงานต่างๆ ได้อย่างดี
    "ให้คนพวกนี้ออกไปก่อน ไปทำงานตามหน้าที่แล้วอย่ามาทำตัวแบบนี้อีก" เมื่อผู้เป็นนายใหญ่ออกคำสั่งทำให้ทุกคนต้องรีบออกจากจุดนั้นกันทันที
    "แกยังจะจะมามีหน้าไม่หย่าด้วยเหรอตุลย์ น้องเขาทนแกมา3ปี แม่ว่าควรพอ แกก็อยากเลิกกับน้องไปคบกับผู้หญิงที่แกรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนิ อิสระที่ต้องการไม่อยากได้แล้วเหรอไง" ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าไปมากับความต้องการที่ลูกชายของตนเองอยากได้ อิสระก็ต้องการแต่ก็ไม่อยากปล่อยอีกคนไป
    "เพราะผมไม่เคยทำหน้าที่ของสามีไงครับแม่ ผมขอเวลาเเก้ตัวนะครับ"
    "เอาน้องเป็นตัวทดลองหรือไงตาตุลย์ ว่าตัวเองเหมาะกับเป็นสามีของใครหรือเปล่า?"
    "พ่อครับ ผมแค่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมไม่ได้อยากให้หล่อนมาเข้าใจว่าผมเป็นคนไม่เอาไหนเลย"
    "ก็คุณเป็นมาตั้งนานแล้วนิคะ คุณตุลา" หญิงสาวพูดก่อนจะยื่นซองสีน้ำตาลมาให้กับชายหนุ่ม
    "สิ่งที่พี่ต้องการอยู่ในนี้นะคะ ไปนั่งที่โต๊ะกันดีกว่านะคะ หนูจะเล่าทุกอย่างในฝั่งหนูให้ฟังค่ะ" ทันทีที่พูดเสร็จหญิงสาวก็พาแม่ของชายหนุ่มไปนั่งที่โต๊ะ
    ชายหนุ่มในแต่มองซองสีน้ำตาลภายในมือของตนเอง ก่อนน้ำตาเริ่มจะไหลลงมาเรื่อยๆ [มันเป็นสิ่งที่เราต้องการมาตลอดไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้เศร้าขนาดนั้นล่ะ]
    สายตาของหญิงสาวมองไปหาชายผู้เป็นที่รัก ที่ตอนนี้มัวแต่จ้องไปที่ซองสีน้ำตาลในมือของเขาเอง ก่อนที่ผู้เป็นแม่ต้องเริ่มการสนทนาตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง
    "ตุลย์มานั่งได้แล้ว" เสียงอันน่าเกรงขามของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อเรียกลูกชายของตนเองที่เอาแต่จ้องมองซองสีน้ำตาลในมือให้มานั่งเพื่อฟังในสิ่งที่หญิงสาวต้องเจอมาตลอด
    เมื่อทุกคนมานั่งที่โต๊ะครบทุกคนหญิงสาวก็ได้เริ่มอธิบายในส่วนของฝั่งตัวเอง 'หนูจะเล่าจากฝ่ายของหนูฝ่ายเดียวนะคะ หลังจากงานแต่งเมื่อ 3ปีที่แล้ว พี่ตุลย์ได้พาหนูมาส่งที่บ้านหลังนี้ พร้อมที่นี่มีพ่อบ้านและแม่บ้านรวมกันกว่า20ชีวิตมา
    ‘ทุกคนน่าจะคงเห็นจากปฏิกิริยาของเจ้านายตัวเองว่าไม่ชอบในตัวของนายหญิง เขาจึงไม่ได้ปฏิบัติกับหนูเหมือนเป็นเจ้านาย อย่างตอนเช้าที่แม่โมโห ถ้าให้หนูเดาก็คงเพราะว่าคนที่นี่คิดว่าแม่เป็นแม่ของหนูสินะคะเลยพูดดูถูก แต่พอรู้ว่าเป็นแม่ของเจ้านายที่จ้างตัวเองมาก็เริ่มกลัว' หญิงสาวหยุดเล่าก่อนจะมองไปที่หน้าของทั้งสามคน ผู้เป็นแม่ก็ได้ตอบด้วยการพยักหน้าว่าเป็นอย่างที่เธอพูด
    'พออยู่มาครบปี...หนูก็เริ่มหางานเสริมทำจนมีรายได้ของฝั่งตัวเองมาบ้าง แต่ก็ยังโดนคนใช้บางคนพูดแดกดันว่าแค่อ้าขาให้ผู้ชายก็ได้แต่งงานกับเขา ที่ได้มาเป็นนายหญิงก็คงเพราะไปอ้าขามาได้มา
    ตึง!!! ผู้เป็นพ่อตบที่โต๊ะเสียงดังก่อนจะมองไปที่ลูกชายของตนเอง
    "หึ! เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ไอ้ลูกคนนี้" ก่อนจะส่ายหัวไปมาและผายมือเพื่อต้องการให้หญิงสาวเล่าต่อไป
    '3ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็ไม่ค่อยจะมาทำงานเพราะรู้ว่าเจ้านายไม่ได้เข้ามาตรวจงาน และนายหญิงก็คงไม่กล้าเอ่ยปากบอกด้วยเพราะขนาดแต่งงานกัน สามียังไม่ยอมนอนที่บ้านเลย ที่เหลือก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้วค่ะ ยกเว้นเมื่อช่วง 8 เดือนที่แล้ว มันไม่ใช่ความผิดขอพี่เขาแต่เป็นการไม่ยอมระวังตัวของหนูเองมากกว่าค่ะ' ผู้เป็นแม่รีบเข้าไปกอดหญิงสาวไว้ทันที พร้อมกับลูบหัวปลอบโยน
    "เรื่องนั้นแม่รู้มาจากลูกสาวของเพื่อนแม่แล้ว เขาสนิทกับ...อคิน"
    "แม่รู้จักมันด้วยหรอ?"
    "หุบปากไปเลยตาตุลย์ ตาคินเองก็โดนจ้างเหมือนกัน ไม่ใช่ความผิดหนูหรอกลูก"
    "จากใครเหรอคะ? เพราะเพื่อนที่พาหนูไปเขาก็โดนจ้างมาจากพี่คิน"
    "ไม่ใช่เปรียบฟ้าหรอกลูก มาจากคู่อริของตาตุลย์เอง เขาคิดว่าตาตุลย์รักหนูมากเลยทำแบบนั้น และช่วงนั้นตาคินเองมีปัญหากับหนูฟ้าพอดีด้วย"
    "รู้ดีเหมือนอยู่ในเหตุการณ์เลยนะครับคุณนาย" ชายหนุ่มหันไปแซวผู้เป็นแม่ก่อนจะได้คำตอบที่ทำให้เขานั้นไม่อยากจะเอ่ยปากอีกครั้งเลย
    "ดีกว่าสามีอย่างแกที่ไม่ยอมดูแลภริยาตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน มันเป็นเหตุการณ์ฝั่งใจสินะลูก" คุณนายหันไปโอ๋หญิงสาวกว่าเก่าเพราะด้วยความที่หญิงสาวเสียพ่อและแม่จากอุบัติเหตุ แถมสามีไม่ยอมมาอยู่ข้างกายในวันที่เลวร้าย เธอต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงผ่านมันมาได้
    "ส่วนแกอยากได้อิสระนักก็เซ็นซะ แล้วปล่อยน้องไป พ่อล่ะไม่อยากเอาแกไปให้ใครเลยจริงขนาดเมียตัวเองแท้ๆ ยังไม่สนใจใยดีเลย ต่อให้ไม่รักกันก็ช่วยทำในแบบที่สามีภริยาเขาควรมีหน่อย" ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายก่อนจะทำได้แค่ส่ายหัวไปมา กับความจริงที่รู้ว่าสิ่งที่ลูกชายของตนเองทำลงไปกับลูกสะใภ้ มันไม่ควรได้รับการอภัย
    "ผมขอเวลาอีก 3 เดือนได้ไหมครับ ถ้า 3 เดือนนี้ผมยังไม่ตกหลุมรักหล่อน ผมจะปล่อยหล่อนไป" ชายหนุ่มหันไปมองหน้าทั้งพ่อและแม่ของตนเองเพื่อต้องการคำตอบแต่สิ่งที่ได้กลับมา ทำให้เขารู้สึกผิดเสียยิ่งกว่าเก่า
    "แกยังมีหน้ามาขอให้น้องรอแกอีกหรอไง 3 ปีที่น้องอยู่คนเดียวยังไม่พอแกต้องให้น้องทนเพิ่มอีกเหรอไงตาตุลย์" คุณนายหันไปต่อว่าลูกชายตัวเองทันที เพราะคำขอที่ดูไม่เป็นธรรมสำหรับลูกสะใภ้ของเธอเอง แต่เขาก็ไม่สามารถมาคิดแทนลูกสะใภ้ได้ก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นความคิดของลูกสะใภ้ไปอย่างนั้น
    "เปลี่ยนจากพี่ตกหลุมรัก เป็นพี่ทำให้หนูกลับไปรักพี่ให้มากเท่าแต่ก่อนไม่ดีกว่าเหรอคะ?" หญิงสาวยิ้มให้กับชายหนุ่มตรงหน้าทันที แต่มีเหรอที่คนอย่างตุลาจะยอมไปตามจีบคนอื่นที่ไม่ใช่เปรียบฟ้าขอของเขา
    "นี่หล่อน!!" ชายหนุ่มกำลังจะโวยวายใส่หญิงสาวก็ต้องรีบหุบปากทันทีเมื่อสายตาของผู้เป็นแม่ของตนเองจ้องมองมา
    "ขนาดแค่นี้พี่ยังทำไม่ได้เลยค่ะ งั้นพี่เซ็นให้มันเสร็จสักทีเถอะนะ"
    "หล่อนไม่รักฉันแล้วเหรอ? ตัดใจจากฉันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ"
    "หนูขอคุยกับพี่ตุลาแค่สองคนได้หรือไม่คะพ่อแม่" หญิงสาวหันไปมองหน้าพ่อแม่ของฝ่ายชายอย่างขอร้อง เมื่อทั้งคู่เห็นสายตาขอร้องของลูกสะใภ้ก็ได้แค่พากันเดินออกจากห้องครัวไป
    "ทำไมหล่อนถึงอยากไปจากฉันละ?"
    "หนูอยู่กับพี่มา 3 ปีแล้วนะคะ" หญิงสาวยิ้มตอบกลับมาให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะสื่ออะไรออกมากลับ
    "แต่ฉันไม่ได้..."
    "ใช่ค่ะ พี่ไม่เคยกลับมาเลยถ้าไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่พี่มาหา และหนูคิดว่าสิ่งนั่นควรพอสำหรับชีวิตหนูได้แล้วนะคะ"
    "ฉันขอเวลาหล่อนแค่ 3 เดือนเองนะ"
    "หนูให้เวลาพี่มาตลอดแล้วค่ะ มันควรพอจริงๆ นะคะพี่ตุลย์ ความรู้สึกหนูมันจะยังอยู่ดี ถ้าไม่ไปเห็นว่าพี่จูบกับผู้หญิงคนนั้น" เสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นคลอ พร้อมกับน้ำตาที่พร้อมจะไหลลงมาเสมอ
    "แต่คนนั้น...คือคนที่ฉันรัก"
    "แล้วหนูก็เป็นคนที่พี่เกลียดเข้าไส้ไงคะ" หญิงสาวยังยิ้มออกมาให้กับชายหนุ่มทั้งที่ภายในใจกลับแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
    "ฉันไม่เคยพูด!! หล่อนอย่ามาคิดเองจะได้ไหม"
    "เพราะบางทีการกระทำมันแสดงทุกอย่างได้ชัดเจนนะคะ"
    "ไม่...มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ทั้งที่หล่อนรักฉันมาก หล่อนจะให้ฉันปล่อยหล่อนไปง่ายๆ เลยเหรอ?" เสียงที่กำลังสับสนว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไรกันแน่ เขามองไปยังหญิงสาวก็เกิดความรู้สึกภายในใจมากมายที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
    "พี่คิดซะว่าม่านหมอกที่เข้ามาอยู่ในเดือนตุลา 3 ปีกว่า กำลังจะพัดผ่านหายไปจากเดือนนี้ เพื่อจะพาท้องฟ้าที่สดใสกลับมาให้คืนไงคะ"
    "แต่พี่ไม่อยากเสียเธอไป" ชายหนุ่มที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนสรรพนามในการสนทนากับหญิงสาว ทำให้หญิงสาวมองอย่างสงสัยก่อนจะตอบกลับว่า
    "พี่ลองใช้ชีวิตที่ไม่มีภริยาในการทำงานดูสิคะ เผื่ออะไรจะดีขึ้น ที่ผ่านมาพี่ต้องไปออกงานในนามที่มีภริยา แต่ถ้าพี่เซ็น...พี่จะสามารถพาคุณฟ้าไปด้วยได้โดยไม่ต้องกลัวว่าคุณฟ้าจะโดนนินทาว่าร้ายทีหลัง"
    "แล้วเธอจะไปอยู่ไหน เธอใช้ชีวิตข้างนอกได้สะดวกเหรอ"
    "หนูไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ หนูก็ยังจะเป็นม่านหมอกที่อยู่กับเดือนตุลาเสมอ ต่อให้หนูจะไม่สะดวกในการใช้ชีวิตข้างนอกก็ต้องสะดวกค่ะ" หญิงสาวหันไปยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะปรายตามองไปที่ซองสีน้ำตาลที่ชายหนุ่มยังถือไว้
    "แล้วถ้าพี่ไม่เซ็นละคะ?"
    "ถ้าตอนนี้พี่ยังไม่อยากเซ็นหนูไม่ได้ว่า แต่ลองปล่อยให้หนูใช้ชีวิตที่ไม่ต้องค่อยเป็นห่วงพี่จะดีกว่านะคะ" หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยน นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวยิ้มอย่างสดใสออกมาให้กับตนเอง
    ตลอดเวลาที่เขากลับมาที่นี่หญิงสาวพยายามยิ้มให้มีความสุข และดูดีใจว่าชายหนุ่มได้กลับมาบ้านหลังนี้
    "งั้น ถ้าเธอต้องการ...แต่ถ้าอยากกลับมา ก็กลับมาได้เสมอนะคะ"
    "คง...อาจจะไม่ก็ได้ค่ะ" หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดมุ่งหมาย เพราะเธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านหลังนี้ บ้านที่เธออยู่มาหลายปี
    "พี่จะรอนะคะ พี่ว่า...ยังไงเธอต้องกลับมาแน่ๆ"
    "ขอบคุณและลาก่อนนะคะ เดือนแห่งการเริ่มฤดู..." เสียงเท้าก้าวออกไปจากชายหนุ่มไกลไปเรื่อยๆ น้ำตาของลูกผู้ชายคนหนึ่งจะเริ่มไหลลงอาบแก้ม
    จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเท้าเดินเข้ามาหาก็นึกดีใจคิดว่าเป็นหญิงสาวที่เปลี่ยนความคิด แต่ก็ต้องเสียใจอีกครั้งเมื่อเงยหน้ามาเจอผู้เป็นพ่อที่อยู่ตรงหน้าแทน
    "คิดว่าเป็นหนูหมอกเหรอไง? แล้วมาร้องไห้ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเลย" เสียงของพ่ออ่อนลงกว่าเดิมมาก เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นลูกชายตัวเองจะร้องไห้ออกมาง่ายๆ เสียด้วย
    "ผม...ผมไม่รู้สิพ่อ ทั้งที่บอกไม่รักเขา แต่พอเขาไป ในใจกลับเหมือนจะตายเลยครับ"
    "แล้วเซ็นแล้วหรือไงกัน"
    "ไม่ครับ น้องบอกถ้าไม่อยากเซ็นก็ได้ แต่ต้องลองปล่อยให้น้องเขาลองใช้ชีวิตที่คิดว่าไม่มีผมเป็นสามี" ชายหนุ่มตอบกลับไปพร้อมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คนเป็นพ่อก็ได้แค่กอดปลอบลูกชายตัวเองก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้ลูกชายมีกำลังใจอีกครั้ง
    "ปล่อยเขาลองใช้ชีวิต แต่ก็อย่าให้เขาหลุดสายตาสิ"
    "พ่อหมายความว่าไงครับ?"
    "น้องอยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แกก็แค่ส่งคนไปคอยดูแลอยู่ห่างๆ ในเมื่อแกยังไม่เซ็นใบหย่า แปลว่าทั้งคู่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่"
    "จริงด้วย...นั่นสินะครับ" ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างกับลูกหมาหาวิธีที่จะทำให้เจ้าของหันมาสนใจได้แล้วอย่างไงอย่างงั้น
    "จริงสิ พ่อครับน้องเขาจะไปอยู่ไหน?"
    "คงหาที่พักเองนั่นละ พ่อกับแม่มีหน้าที่แค่คอยเป็นห่วง เพราะน้องเขาเคยคุยเรื่องหาคอนโดกับพ่ออยู่ครั้งหนึ่ง"
    "ยอมปล่อยน้องไปแล้วหรือตาตุลย์" เสียงคุณนายของบ้านเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่สงสัยเต็มไปหมด แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มตอบกลับผู้เป็นแม่ให้เป็นคำตอบ ทำให้หญิงสาววัยกลางคนต้องหันไปมองหน้าสามีของตนเองเพื่อต้องการทำตอบ
    แต่ก็ได้กลับมาเป็นรอยยิ้มเช่นเดียวกันกับลูกชายแบบพิมพ์เดียวกันเป๊ะ ผู้เป็นแม่ได้แต่ส่ายหัวไปมากับพ่อลูกคู่นี้เสียจริง แต่ยังไงเสียดูท่าแล้วเขาเองก็คงไม่ได้เสียลูกสะใภ้คนนี้แล้วเป็นแน่...
    คนเรามักจะรู้ค่าทุกอย่างที่มีค่ากับตัวเองในเวลาที่เสียสิ่งนั้นไปแล้ว
    แต่จะมีกี่คนที่รู้ค่าสิ่งนั่นในเวลาที่เกือบจะเสียสิ่งนั่นไป
    เมื่อไรที่มีคนหนึ่งอยากออกจากชีวิตของเรา ก็อย่ารั้งให้เขามาจมอยู่กับความเจ็บ

     

    ตอนพิเศษ
    2 เดือนต่อมา
    ฉันได้ออกมาเช่าห้องพักและได้ก้าวออกมาจากชีวิตผู้ชายที่ชื่อ ตุลา ผู้ชายที่ฉันเคยคิดที่จะยอมถวายชีวิตเพื่อให้เขารับรัก แต่ผลกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
    ฉันพยายามไม่อยากจะไปคิดถึงพี่เขามาก แต่ก็นั้นสินะ ไม่มีใครสามารถตัดใจจากคนที่ตัวเองรักได้ในทันทีหรอกต่อให้ทำตัวเก่งแค่ไหนก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี
    กริ๊ง กริ๊ง
    “ฮัลโหลสวัสดีค่ะ ม่านหมอกถือสาย”
    [สบายดีไหมหนู?]
    “ค่ะ สบายดี”
    [ไม่อยากกลับมาที่บ้านเหรอคะ]
    “ไม่ค่ะ ขอบคุณมากที่คุณเป็นห่วง”
    [พี่...พี่..เอ่อ]
    “คุณไม่มีอะไรแล้วสินะคะ งั้นหมอกขอวางสายนะคะ”
    [พี่อยากให้หนูกลับมา พี่รักหนูนะคะ]
    ตู๊ด ตู๊ด
    ทันทีที่ได้ยินคำนั้นฉันก็ตัดสินใจตัดสายทันที ตอนนี้ภายในใจของฉันเสมือนมีการระดมคนมาตีกลองให้ดังสนั่น ต่อให้ชายคนนั้นจะมาทำให้ฉันดีใจแต่ก็คงได้แค่นั้น ฉันไม่อยากจะเชื่อใจเขาอีกแล้ว
    แกรก!
    ทันทีที่ได้ยินก็ทำให้ฉันหันไปทางต้นเสียง ก็ได้เห็นคนที่กำลังเดินเข้ามา...
    “กลับบ้านได้ไหมคะ?”
    “พี่ตุลย์!! ครั้งนี้ไปได้กุญแจมาจากไหน”
    “พี่บอกผู้ดูแลว่าลืมกุญแจครับ” ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มกลับมาให้เหมือนไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำผิดอยู่ [ยังมีหน้ามาทำตัวลอยหน้าลอยตาอีกอีตานี่!!]
    “ทำไมพี่ต้องเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของหมอกด้วย อิสระที่พี่ต้องการมันไม่สนุกเหรอไงคะ?” ฉันที่เริ่มหมดความอดทนกับการกระทำของผู้ชายตรงหน้าคนนี้เต็มทน เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันโดน
    และตัวของฉันเองก็เคยโทรไปบอกทางพ่อกับแม่ของพี่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าพ่อและแม่บอกลูกชายตัวเองยังให้รุกเข้าหาฉันหนักกว่าเดิมอย่างมาก
    “ไม่สนุกเลยค่ะ” ชายตรงหน้าฉันก็ทำหน้าหงอยอย่างกับหมาโดนเจ้าของทิ้งอย่างไงอย่างงั้น [ชิ!! คนอย่างม่านหมอกไม่มีทางที่จะสงสารหรอกนะขอบอกไว้เลย]
    “สนุกออกนิคะ เพราะพี่กลับมาที่บ้านนับครั้งได้เลยภายในเวลา 3 ปีที่ผ่านมา แล้วเธอคนนั้นละคะ? ไม่ตามเขาเหมือนหมาเชื่องอีกเหรอคะ”
    “ม่านหมอก!!”
    “เนี่ยๆ แค่นี้พี่ยังไม่ลืมเขาเลย จะให้หมอกกลับไปจมปรักอ้อนวอนขอรักจากพี่อีกหมอกไม่เอาหรอกนะคะ พี่กลับไปเถอะ หมอกจะไปทำงานแล้ว” ฉันรีบคว้าเอากระเป๋าและเดินออกจากห้องทันทีโดยไม่ยอมหันหลังไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ในห้องแม้แต่น้อย
    ฉันไม่เข้าใจว่าพี่ตุลย์คิดอะไรอยู่กันแน่ถึงต้องมาตามรังควานฉัน ทั้งที่ในใจพี่เขาก็ยังมีเธอคนนั้นเป็นที่หนึ่งของใจเสมอ เขาต้องการให้ฉันเจ็บ หรือต้องการให้ฉันเป็นตัวแทนในการที่เขาจะสามารถดูแลภริยาได้กันแน่?
    หมับ
    “เฮ้ย!!” ฉันรีบหันหลังกลับไปยังคนที่ที่คว้ามือฉัน คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร
    “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
    “หนูมีมือมีเท้าไปเองได้ค่ะ ขอบคุณมาก” ฉันสะบัดข้อมือหลุดก็รีบเดินออกจากจุดนั้นทันที โดยไม่ฟังคำโต้แย้งของพี่เขาแม้แต่น้อย
    แต่เหมือนพี่เขาจะไม่ยอมลดความพยายาม เพราะฉันได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินตาม ทำให้ตัวฉันเองก็รีบสาวเท้าให้เร็วกว่าเดิม แต่เสียงฝีเท้าก็รีบยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันเร่งฝีเท้า จนฉันทนไม่ไหว
    “หยุดซักทีพี่ตุลา!!” ฉันหันหลังกลับไปตะโกนใส่หน้า แต่ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่วิ่งตามหลังฉันมา...
    “คนสวยวันนี้ก็มีผู้ชายมาห้องอีกแล้วสินะ ให้พี่ไปช่วยไหมจ๊ะ”
    “ไม่เป็นไรค่ะ พอดีเขาคือผัวหนูเองค่ะ”
    “หา? ผัวเหรอ แปลว่ามีปัญหากันสินะ งั้นเอาพี่ไปเป็นข้อแก้ตัวให้ได้นะจ๊ะ”
    “เปล่าจ๊ะ รักกับผัวดีจ๊ะ พี่ไม่ต้องยุ่งหรอกผัวหนูขี้หวงนะ” ฉันส่งยิ้มก่อนจะโค้งนิดหนึ่งเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าขอตัวก่อน แต่เมื่ออีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยฉันไปเท่าไหร่
    “ขี้หวงอะไรกัน เมื่อกี้ยังเห็นตะโกนใส่กันอยู่เลย” เขาคว้ามือของฉันแล้วดึงเข้าไปหาทำให้ได้กลิ่นสุราที่ออกจากตัวของผู้ชายคนนี้ แรงพอสมควร ดูท่าจะอันตราย...จู่ๆ ร่างกายของฉันก็หยุดนิ่งเหมือนโดนสต๊าฟ ภาพที่ฉันเคยโดนทำเรื่องที่คล้ายคลึงกันไหลเข้ามาภายในหัวของฉัน ไล่เป็นฉาก...
    “พี่ตุลย์...” ริมฝีปากของฉันเริ่มขยับและส่งเสียงเรียกหาชายหนุ่มที่ตัวเองต้องการจะหลีกหนีมาตลอด
    “คนสวยเรียกหาผัวหรอกจ๊ะ พี่เห็นผัวน้องเดินไปที่โรงรถปานนี้ออกไปแล้วมั้ง” น้ำตาฉันเริ่มไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ควรทำอะไรฉันกลัว กลัวว่ามันจะเกิดเรื่องแบบครั้งนั้นอีก
    “พี่ตุลย์ช่วยด้วย!!” ปากของฉันมักจะไวกว่าสมองสั่ง ฉันเชื่อว่ายังไงพี่ตุลายังไม่ไปไหนแน่ ในเมื่อเขามาง้อฉันแล้วเขาก็ต้องอยู่แถวนี้เผื่อรอดูฉันย่างที่พี่มันชอบทำ...
    “เรียกไปก็ไม่มีใครมาช่วยหรอกคนสวย”
    แกรก
    “ปล่อยมือ” ทันทีที่มีเสียงบุคคลที่สามดังขึ้นฉันก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพราะมันคือเสียงที่ฉันคุ้นเคย 
    .
    ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เราได้แก้ไขและเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด
    .
    “ใครละเนี่ย ผัวเมียจะคุยกันมึงเสือกอะไร”
    “เมีย? คนที่มึงจับอยู่คือเมียกู” ฉันที่พยายามดิ้นเพื่อจะให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการแต่ก็ไร้ผล เพราะยิ่งดิ้นเท่าไหร่ผู้ชายคนนี้ก็จะยิ่งจับฉันแน่นกว่าเก่า
    “พี่ตุลย์...ช่วยด้วย” เสียงของฉันเริ่มสั่นเครือ และเริ่มหันไปร้องไห้ให้กับชายที่อยู่ตรงหน้าขอฉัน ฉันไม่สนอะไรแล้วขอแค่หลุดจากพันธนาการตรงนี้ ขอแค่ฉันหลุดออกไปจากเหตุการณ์ตรงนี้
    ในตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าฉันกำมือที่ถืออาวุธสีดำไว้แน่น เขามองหน้าฉันก่อนจะกลับไปจ้องมองหน้าชายอีกคนที่จับฉันไว้อย่างกะจะเอาเลือดเอาเนื้อให้ได้
    “กูจะบอกมึงอีกครั้งว่า ให้! มึง! ปล่อย! เมีย! กู! ก่อนที่ลูกกระสุนกูจะฝังไว้ในหัวสมองของมึงนะ” เมื่อสิ้นเสียงของพี่ตุลา ชายคนนี้ก็รีบปล่อยตัวฉันแล้ววิ่งหนีไปทันที
    เมื่อฉันโดนปล่อยก็รีบวิ่งเข้าไปกอดชายหนุ่มที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีทันที ไม่มีคำปลอบอะไร พี่เขาได้แค่กอดฉันแล้วลูบหัวเบาๆ พร้อมพูดแค่คำคำเดียวซ้ำไปซ้ำมา
    “พี่ขอโทษนะ” ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนโลกหมุนไปหมด ฉันจึงพยายามดึงสติและเอ่ยคำพูดให้กับชายหนุ่มตรงหน้า
    “พี่ตุลย์...ขอบคุณนะ”
    ชายหนุ่มยิ่งกอดฉันแน่นกว่าเก่า เมื่อฉันหยุดร้องไห้และรู้ตัวว่าอยู่ในที่ปลอดภัยก็ทำให้ฉันสลบโดยไม่รู้ตัว...

    เมื่อหญิงสาวหลับไปในอ้อมกอด ชายหนุ่มก็อุ้มพาเธอกลับไปที่รถแทนที่จะเป็นห้องพักของหญิงสาว... เพราะเขากลัวว่าชายคนนั้นจะกลับมาอีกครั้งและนี้คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ม่านหมอกกลัวมาก
    โชคดีที่เขาเองก็ยังไม่ได้ออกจากโรงรถไปไกลมาก เพราะเขาว่าจะขี่รถตามหลังของม่านหมอกอย่างที่เคยทำเสมอ แต่ก็ไม่เห็นหญิงสาวสักที จนเมื่อเขาก้าวขาลงรถก็ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ...
    รถหรูขับเข้ามาบ้านหลังใหญ่ที่มีพ่อและแม่ของเขาอาศัยอยู่ เมื่อเห็นว่ารถของลูกชายขับกลับมาทั้งผู้เป็นพ่อและแม่ก็เดินลงมาเพื่อจะถามว่าง้อภริยาได้อีกวันหรือไม่ แต่ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มก็ทำท่าทางให้ท่านทั้งคู่ไม่ต้องพูดอะไร
    “น้องหลับครับ เดี๋ยวผมขอพาน้องไปนอนเดี๋ยวมาเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นนะครับ”
    เมื่อเขาพาหญิงสาวขึ้นไปที่ห้องนอนเรียบร้อยก็กลับลงมาคืนที่ห้องรับรอง ทั้งพ่อและแม่ก็นั่งมองมาที่ชายหนุ่มที่กำลังเดินลงบันไดมาอย่าใจจดใจจ่อ
    “เกิดอะไรขึ้นกับน้องเหรอตุลย์?” เสียงผู้เป็นมารดาเอ่ยถามทันทีเมื่อลูกชายของตนเองลงมาถึง
    “น้องเจอคนเมาครับ แล้วเหมือนคงจะเกิดภาพที่ฝังใจมา พอดีผมสงสัยว่าทำไมวันนี้น้องยังไม่ขี่รถออกจากหอเลยลงไปดู น้องเข้าเจอคนเมาจับตัวไว้ ผมเลยรีบเข้าไปช่วย แล้วน้องก็หลับครับ ผมไม่อยากเอาน้องกลับห้องกลัวผู้ชายคนนั้นจะกลับมาอีก เลยเอาน้องกลับมาครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะให้ลูกน้องไปเอาของของน้องและเซ็นสัญญายกเลิกห้อง” ทั้งพ่อและแม่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ อย่างน้อยๆ ลูกสะใภ้เขาก็จะได้ปลอดภัยจากเหตุสุดวิสัยแบบนี้ ให้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็ได้ไม่ต้องไปอยู่บ้านที่เป็นเรือนหอก็ได้
    เมื่อผมคุยกับท่านทั้งคู่เสร็จเรียบร้อย ก็กลับขึ้นห้องไปดูว่าเธอนอนหลับดีไหม
    แกรก
    “พี่ตุลย์ ช่วย ฮึก ช่วยด้วย” และเมื่อผมเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่แผ่วเบาร้องไห้ออกมา ด้วยความเป็นห่วงผมก็รีบวิ่งเข้าไปดูหญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าของเธอสองแก้มอาบเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงได้เดินอ้อมไปนอนข้างๆ ของหญิงสาว และกอดเธอไว้ แล้วก็เผลอหลับไป...
    เมื่อแสงแดดสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านมากระทบยังดวงตาของหญิงสาวที่กำลังหลับอย่างสบาย ก็ต้องขยับร่างกายเพื่อขยับตัวหลบจากแสงแดดที่ลอดออกมาโดนสายตา
    “ตื่นได้แล้วนะม่านหมอก”
    “อือ”
    “สายแล้วนะ”
    “อือ”
    “ไม่ตื่นงั้นพี่ทำ morning kiss นะ”
    “อือ”
    “หมอกอนุญาตแล้วนะ”
    “อือออออ” ผมรู้ว่าผมไม่ควรทำอะไรแบบนี้กับคนที่นอนหลับอยู่แบบนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวเขาอนุญาต ผมก็ไม่ขัดครับ...
    จุ๊บ! ฟึบ!
    ทันทีที่ผม morning kiss ไปที่หญิงสาวที่หลับอยู่ก็สะดุ้งโหยงตกใจแล้วหันมามองจ้องที่ผม ผมก็ได้แต่ยิ้มให้หญิงสาวอยู่อย่างนั้น
    “พี่ทำอะไรเนี่ย? หาวววว” หญิงสาวด้วยความที่พึ่งตื่นจากการนอนนานก็งัวเงีย พร้อมหาวง่วงนอนกลับมาให้ทั้งที่ตนเองพึ่งจะลุกจากเตียงนอนเมื่อไม่นานเนี่ยเอง ผมก็ได้แต่ขำเบาๆ กับการกระทำของหญิงสาวตรงหน้า
    “ทำไมพี่ไม่ตอบหนูอะ”
    “ก็ morning kiss ไงครับ” หญิงสาวก็เอียงคอมองมาที่ผมอย่างสงสัย
    “...”
    “พี่ขออนุญาตแล้วนะ หมอกก็บอกว่าได้เอง” หญิงสาวก็ยิ่งทำหน้างงเข้าไปใหญ่ แต่ผมก็ได้แค่ยิ้มก่อนจะขยับตัวจนปลายเท้าแตะพื้น และเดินไปทางห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว

    ฉันที่มองตามหลังของชายหนุ่มที่หายไปในห้องน้ำ ก็ต้องมาตั้งสติกับตัวเองทันที [อะไรกันเนี่ย มา morning kiss แถมบอกว่าฉันอนุญาตเอง ขอร้องเถอะคนอย่าฉันเนี่ยนะ คนอย่างม่านหมอกเนี่ยนะเหรอ] ฉันส่ายหัวไปมาก่อนจะเริ่มมองสังเกตไปยังรอบๆ ห้องที่ตนเองนอนเมื่อคืนที่ผ่านมา
    ที่นี่ไม่ใช่บ้านที่ตัวเราพึ่งออกมาแน่นอน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงฉันต้องคุ้นบ้านบ้าง แต่นี้ไม่คุ้นเลย...
    แกรก แอ๊ด~~
    ฉันเริ่มเดินออกจากห้องเพื่อสำรวจบ้านหลังนี้ ช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ฉันเดินไปเรื่อยจนได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของฉันเอง
    “หนูหมอกมาทำอะไรตรงนี้ลูก”
    “พ่อสวัสดีค่ะ” เมื่อฉันหลังกลับไปก็เจอกับผู้เป็นบิดาของสามีตนเองกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ที่สวนดอกไม้ ท่านก็ยิ้มมาให้ก่อนจะเอ่ยคำถามแบบเดิมที่ฉันได้ยินก่อนหน้านี้
    “แล้วหนูหมอกมาทำอะไรตรงนี้ลูก”
    “พอดีว่าเดินดูรอบๆ บ้านน่ะค่ะ หนูก็ว่าทำไมไม่คุ้นบ้านของพ่อกับแม่สินะคะ”
    “ใช่แล้ว มานี้สิลูก” เมื่อสิ้นคำพูดของบิดาตรงหน้าฉันก็ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ท่านมากกว่าเก่า และท่านเองก็หยุดรดน้ำต้นไม้ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันและเดินนำหน้า ไปยังเก้าอี้ไม้ที่รอบเก้าอี้นั้นเต็มไปด้วยเหล่าดอกไม้นานาชนิดกับแสงแดดยามเช้าทำให้ที่ตรงนี้ดูสวยเป็นอย่างมาก และฉันก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ท่านก่อนจะเป็นคนที่เปิดบทสนทนาระหว่างเราทั้งคู่
    “พี่ตุลาเป็นคนพาหนูมาที่บ้านหลังนี้เหรอคะพ่อ”
    “ใช่ ตุลย์เป็นห่วงหนูมากเลยนะลูก” ฉันก็ได้เพียงแค่นิ่งเงียบไม่คิดจะตอบกลับอะไรไป เพราะรู้ว่ายังไงชายคนนั้นก็ไม่มีทางที่จะกลับมารักฉันได้หรอก คงคิดว่าถ้าพาฉันกลับมาที่บ้านได้พ่อกับแม่คงให้อะไรสักอย่างเป็นการตอบแทน
    ‘ม่านหมอก!!’ เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากตัวบ้านทำให้ทั้งฉันและพ่อต้องหันไปมองยังต้นเสียง
    และก็ต้องตกใจ...เมื่อชายหนุ่มที่ปกติแต่งตัวออกจะดูดีสมกับเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูล แต่บัดนี้กลับกันแบบสิ้นเชิงเขาใส่เพียงผ้าขนหนูคาดไว้ตรงเอวเพียงอย่างเดียว
    และก็เป็นแค่สิ่งเดียวที่ปกปิดร่างกายของชายหนุ่มเอาไว้ ทำให้หญิงสาวต้องรีบวิ่งเข้าไปหาทันที โดยไม่ได้ลาผู้เป็นพ่อที่อยู่ข้างๆ กันเลยแม้แต่นิดเดียว
    “พี่ทำอะไรเนี่ย ใครให้ใส่แค่เนี่ยเดินไปมา!!!”
    หมับ!
    และเมื่อชายหนุ่มได้เห็นบุคคลที่ตนเองกำลังตามหาก็รีบไปเข้าสวมกอดทันที ไหล่ของชายหนุ่มก็เริ่มสั่นเบาๆ จนหญิงสาวเองก็ตกใจ เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเลยสักครั้งในชีวิต
    “พี่ตุลย์?” ฉันพยายามดันให้ชายหนุ่มปล่อยกอดและยืนคุยกันดีๆ แต่ดูท่าทางแล้วคงไม่ได้ผลอะไรเลย ก็ได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลย ก่อนจะลูบหลังของพี่เขา พร้อมตบปลอบเบาๆ ประมาณว่า ‘ฉันเองก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหนมา
    “ทำไมเดินออกจากห้องไม่บอกพี่เลยคะ พี่เป็นห่วงมากเลยรู้ไหม พี่คิดว่าหนูหนีกลับไปแล้วซะอีก”
    “ปะ...”
    “รู้ไหมใจพี่หายไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยนะคะ ทีหลังไปไหนก็บอกพี่ก่อนหน่อยนะคะ”
    “โอ...”
    “เนี่ยพี่ให้เลขาไปเก็บของที่ห้องพักหนูแล้วเรียบร้อยนะคะ ว่าแต่ทำไมหนูไม่คุยกับพี่เลยละ?” เมื่อสิ้นเสียงชายหนุ่มก็มองมายังใบหน้าของฉัน พร้อมทำหน้าอย่างกับสุนัขที่เจ้าของไม่ยอมสนใจ ทั้งที่เขาพยายามจะเล่นด้วย
    “พี่เล่นแทรกทุกคำที่หนูจะพูดเลย ยังมีหน้ามาบอกว่าหนูไม่คุยกับพี่อีกเหรอ”
    “พี่...พี่ เอ่อ ขอโทษครับ”
    “แล้วก็กลับไปแต่งตัวที่ห้องเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ชายหนุ่มเหมือนจะสงสัยกับสิ่งที่ฉันพูดก็เลยก้มมองตัวเอง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ มาให้ฉัน พร้อมจับมือของฉันเดินกลับไปที่ห้องนอนที่ฉันพึ่งจะก้าวออกมาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา
    แกรก แอ๊ด~~
    “ปล่อยหนูได้แล้วมั้งค่ะ” ฉันชูตรงข้อมือที่อีกฝ่ายกำแน่นเหมือนกลัวว่าลูกสาวจะหายไปจากสายตาให้อีกฝ่ายดู แต่พี่มันก็ทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะพาฉันเดินไปที่ห้องแต่งตัว ทำให้ฉันเองพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดแต่ก็ไร้ผล เลยได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลยเช่นเดิม...เมื่อมาถึงยังภายในห้องแต่งตัว เขาถึงปล่อยมือฉันให้เป็นอิสระ ทำให้ฉันเองก็กำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนี้
    แต่ก็ถูดขัดด้วยน้ำเสียงของชายหนุ่มที่กำลังแต่งตัวอยู่ข้างหลัง
    “รอพี่แต่งตัวเสร็จก่อนค่อยเดินออกไปพร้อมกันสิค่ะ”
    “แล้วทำไมหนูต้องรอด้วยละคะ?” ฉันถามออกไปด้วยความสงสัย
    “ก็เดี๋ยวหนูหายอีก...” เมื่อสิ้นเสียงฉันก็หันกลับไปมองยังต้นเสียง แต่ก็ต้องตกใจเพราะเขาเดินเข้ามาอยู่หลังฉันตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
    ใบหน้าของเราทั้งสองประสานกัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มขยับหน้าเข้ามาใกล้ และภาพในหัวของฉันก็ได้ฉายภาพซ้ำที่เป็นภาพที่ฉันเห็นว่าชายหนุ่มนั้น ได้จูบกับหญิงสาวอีกคน...
    เหมือนเป็นการเรียกสติทำให้ฉันดันอีกฝ่ายออกทันที แต่เหมือนอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจกับการกระทำของฉันเช่นเดียวกัน
    “โอเคๆ เดี๋ยวหนูรอ”
    “เอ่อ หนูไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่เตรียมเสื้อให้ จะได้ลงไปทานข้าวกัน” ชายหนุ่มยิ้มมาให้ฉันอย่างอ่อนโยน ฉันก็ได้แค่พยักหน้าตอบกลับ แล้วรีบหันหลังเดินออกมาทันที โดยไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปมองแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่รู้เลยว่าพี่ตุลาจะคิดยังไงกับเหตุการณ์เมื่อกี้ แต่สำหรับฉันแล้วถ้ายังได้อยู่ใต้ชายตาเดียวกันแบบนี้ ฉันต้องมีความรู้สึกรักพี่ตุลาอีกครั้งเป็นแน่

    “ตุลาสิ่งที่แกทำ ดูท่าน้องจะลืมไม่ลงสินะ” ผมได้แต่นึกถึงการกระทำของตัวเองที่เคยทำลงไป ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ที่หญิงสาวจะไม่ยอมรับ เป็นผมเองเจอขนาดนั้นก็คงไม่อยากทนอยู่อีกแล้วเช่นเดียวกัน
    ผมรีบสะบัดความคิดเช่นนั้นออกจากหัว ก่อนจะรีบแต่งตัว และไม่ลืมที่จะเตรียมเสื้อกับหญิงสาวอีกด้วย
    ในเมื่อที่บ้านหลังนี้ยังไม่เคยมีของของหญิงสาวแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผมนำเอาเสื้อเชิ้ตสีดำที่ไซส์เล็กที่สุดของผมมาให้กับเธอใส่แทนและกางเกงขาสั้น ก็ไม่เชิงว่าจะเป็นกางเกงแต่มันคือกางเกงนอนที่เป็นขาสั้นสีพื้นต่างหาก เมื่อผมเตรียมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น
    “ขอโทษนะพี่ไม่มีชุดสำหรับหนูเท่าไหร่เลย” หญิงสาวก็ทำได้แค่เพียงยิ้มตอบกลับ และเดินมาเอาเสื้อผ้าที่ผมเตรียมให้ แล้วเดินกลับเข้าไปที่ห้องแต่งตัว ก่อนเธอจะตะโกนออกมา
    “มันค่อนข้างใหญ่นะพี่ตุลย์!”
    “หนูใส่โอเคหรือเปล่า? เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อให้เอาไหมคะ” ผมรีบถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวว่าน้องจะใส่ไม่โอเค ขนาดเสื้อตัวนั้นไซส์เล็กที่สุดสำหรับผมแล้วนะ
    แกรก
    “โอเคอยู่ค่ะ” เมื่อหญิงสาวเปิดประตูออกมาก็ทำให้ผมตะลึง เพราะเธอใส่สีดำแล้วทำให้ผิวของเธอยิ่งดูขาวมากเป็นพิเศษ แถมเสื้อผมไม่ค่อยรัดอย่างที่คิดเท่าไหร่
    “หนูแน่ใจนะว่าโอเค?” ผมก็ยังถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าหญิงสาวเองก็โอเค
    “โอเคเรื่องไซส์เสื้อค่ะ แต่หนูไม่ได้ใส่เสื้อในกับกางเกงในเนี่ยสิค่ะ” หญิงสาวก็มองมาที่ผมโดยไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดที่ออกจากปากของตนองแม้แต่น้อย
    “อ เอ่อ อา” หญิงสาวก็เอียงคอมองหน้าผมอย่างสงสัย และไอ้ปากเจ้ากรรมก็ดันยังคงพูดติดอ่างไม่หยุดเลย
    “แต่เสื้อก็ใหญ่คงไม่มีใครรู้หรอกค่ะ ถ้าหนูและพี่ไม่พูด” หญิงสาวพูดเสร็จก็เดินเข้ามาหาผมทันที แต่เหมือนว่าปฏิกิริยาของผมจะไม่ค่อยเหมือนเดิม ไม่ใช่ผมสิ...น้องชายของผมต่างหาก แต่ผมก็ไม่ควรจะทำตัวแบบนี้ต่อหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้ค่อยข้างจะไม่ค่อยถูกใจผมเสียเท่าไหร่
    “หนูๆๆๆ อย่าเข้าใกล้พี่กว่านี้เลยนะคะ ถือว่าพี่ขอนะคะ” ผมรีบไหว้ก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนให้กับหญิงสาว
    “คะ? พี่เกลียดหนูขนากนั้นเลยเหรอคะ”
    “ไม่ใช่หนู แต่กลับกันเลยค่ะ”
    “หนูอยากกอด...”
    “หนูคะ ถ้าพี่ทนไม่ได้หนูจะรับไหวเหรอคะ” หญิงสาวยิ้มตอบกลับมาเหมือนไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดคืออะไร เด็กคนนี้ร้ายจังเลย!!
    แต่ก็ไม่วายหญิงสาวก็อ้าแขนเพื่อให้ผมกอด อย่างกับเด็กน้อยที่ต้องการให้พ่อแม่อุ้มอย่างไงอย่างงั้น
    “กอดหนูหน่อยสิคะ” หญิงสาวก็ยิ้มมาให้เมื่อผมเองก็ยอมลุกขึ้นและเดินไปกอดเธอ ทั้งที่ส่วนนั้นของผมเองก็ยังแข็งอยู่อย่างนั้น
    หมับ
    “พี่ตุลย์ น้องพี่ค่อนข้างอยู่ไม่สุขเลยนะคะ” ผมรีบปล่อยอ้อมกอดทันทีที่โดยหญิงสาวในอ้อมกอดทักขึ้น
    “พี่บอกไปแล้วว่าถ้าพี่ทนไม่ได้หนูจะรับไหวเหรอคะ” ผมก้มมองหญิงสาวทันทีที่พูดจบ
    “หนูก็ไม่ได้บอกให้พี่อดทนนิคะ”
    “หมอกพี่ไม่เล่นนะคะ”
    หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับแต่ก็ยิ้มมาให้ผม และผมเองเวลาแบบนี้ก็ค่อนข้างจะไม่ดูดำดูดีผู้หญิงคนไหนเสียด้วยสิ
    เธอก้าวเท้าไปยังเตียงนอนก่อนจะนั่งลง แล้วตบลงที่ข้างๆ เตียงเหมือนต้องการบอกว่าให้ผมไปนั่งข้างกัน
    และทันทีที่ผมนั่งลงข้างหญิงสาว มือของเราทั้งคู่ก็เริ่มผสานกัน ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ณ ตอนนี้ผมหน้าแดงเช่นเดียวกับมะเขือเทศแดงขนาดไหน ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของผมเองด้วยซ้ำไป
    จุ๊บ
    “ไปกินข้าวกันดีกว่านะคะ” ผมได้แต่นั่งนิ่งทั้งที่ต้องสงบอารมณ์ตัวเอง แต่กลายเป็นว่าหญิงสาวทำให้น้องชายของผมเองตื่นตัวเสียยิ่งกว่าเก่า...
    ผมเนี่ยแทบจะร้องไห้ ไอ้อยากปล่อยน้องก็อยากปล่อย แต่น้องเล่นจุดฉนวนขึ้นมาเองกับมือ ขอวอนพระผู้เจ้าเลยนะครับ
    แต่เหมือนหลังจากนั้นน้องก็กลายเป็นคนที่รุกหาผมก่อนเสมอและพอมันจะมากเกินไปที่น้องเองจะรับไหวก็จะหยุดการกระทำของตัวเอง
    ตอนนี้เราทั้งคู่อาจจะไม่ได้กลับมาในสถานะสามีภริยาแบบเต็มตัวเช่นเดิม
    แต่ในตอนนี้เรื่องราวของเราทั้งคู่ก็เริ่มดีขึ้นตามกาลเวลาที่ควรจะเป็น
    ผมรู้ว่าเรื่องราวของผมอาจจะไม่น่าให้อภัย แต่เรื่องราวอดีตที่ผ่านมาคือการที่ทำให้เราเรียนรู้เพื่อปรับตัวกับเหตุการณ์ปัจจุบันให้ดีขึ้น ผมหวังว่าสักวันม่านหมอกจะให้อภัยผม เพราะตอนนี้ผมหลงน้องจนจะโงหัวไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×